ลูกไม่ยอมกินผักผลไม้ ทำยังไงให้ได้วิตามินซี

เด็กๆ ที่ไม่ชอบกินผักผลไม้ ถ้าเรายิ่งบังคับหรือจริงจังเกินไป ลูกอาจจะยิ่งฝังใจไม่ยอมกินเข้าไปใหญ่ ทางที่ดีควรจะให้เวลาเขาได้เรียนรู้ ได้ทดลอง

การทำโทษลูกเพียงเพราะลูกไม่กินผักหรือผลไม้เป็นเรื่องที่ไม่ดีไม่ควรเลย รวมถึงไม่ควรสร้างข้อแม้ต่างๆ เช่น กินผักให้หมดก่อนถึงจะกินขนมต่อได้ เพราะความจริงแล้วสิ่งที่ลูกจะเลือกคือขนม ไม่ใช่ผักและผลไม้ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ มีวิธีการกินให้ได้วิตามินซีที่ช่วยส่งเสริมร่างกายให้แข็งแรง ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบกินผักผลไม้

วิตามิน ซี สำคัญไหม? มีประโยชน์อะไร ? หลายๆ คนอาจจะคิดว่าการขาดสารอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ ไม่ได้เป็นสิ่งร้ายแรงที่น่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วนั้น การคาดวิตามินใดๆ ก็ตาม เป็นระยะเวลานาน อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา และร้ายแรงที่สุดคือเสียชีวิตได้

ประโยชน์ของวิตามินซี

1.มีบทบาทสำคัญในการผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ใน ผิวหนัง เส้นผม ข้อต่อ กระดูกและหลอดเลือด

2.ช่วยให้ผิวแข็งแรง โดยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากการถูกทำลายจากแสงแดด และการสัมผัสสารมลพิษ เช่น ควันบุหรี่หรือโอโซน นอกจากนี้ยังส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน ผิวพรรณดูเต่งตึง ฉ่ำน้ำ ดูอ่อนเยาว์

3.ช่วยให้การทำงานของข้อต่อ ที่ต้องการใช้คอลลาเจนเป็นจำนวนมาก ทำงานได้ดี ไม่เจ็บปวดจากการใช้งานข้อต่อ

4.มีงานวิจัยที่บอกว่ามีบทบาทสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน

5.อาจช่วยป้องกันโรคอ้วน โดยการควบคุมการปลดปล่อยไขมันจากเซลล์ไขมัน ลดฮอร์โมนความเครียดและลดการอักเสบ

อาการที่อาจเกิดขึ้น (VITAMIN C DEFICIENCY)

boy-check-up-dental-care-52527.jpg

1.เป็นสิวและผิวหนังไก่ เนื่องจากสภาพผิวแห้งลง เกิดเป็นขนคุดขึ้นและอาจจะพัฒนาเป็นผิวหนังไก่ บริเวณต้นแขน ต้นขา บริเวณสะโพก เนื่องจากมีการสะสมโปรตีนเคราตินภายในรูขุขนนั่นเองค่ะ นอกจากนั้นก็ยังอาจเกิดสิวเล็กๆ ในบริเวณแขน ต้นขา และบริเวณสะโพกได้เช่นกัน

2.ผมร่วง เพราะโครงสร้างของโปรตีนในเส้นผมจะเปลี่ยนแปลงไป ผมอาจดูหยิกหยอย ฟูฟ่องขึ้น แต่ก็ยังอาจจะทำให้ผมเปราะขาดง่าย และร่วงง่ายขึ้นเช่นกัน

3.เลือดออกตามรูขุมขน ปกติแล้วทุกๆ รูขุมขนจะมีเส้นเลือดเล็กๆ มากมาย ทำหน้าที่ส่งสารอาหารมาหล่อเลี้ยงเส้นขน เมื่อร่างกายขาดวิตามินหลอดเลือดเหล่านี้จะบอบบางและเปราะแตกกง่ายขึ้น ทำให้มองเห็นเป็นจุดแดงๆ ตามแขน ขา ทั่วลำตัว (perifollicular)

4.มีครึ่งวงกลมสีขาวที่เล็บ ไม่ว่าจะเป็นเล็บมือหรือเล็บเท้าก็ตาม แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเป็นโรคโลหิตจาง แต่ก็อาจจะมีเกี่ยวข้องกับขาดวิตามินในร่างกายด้วยเช่นกัน

5.ผิวแห้งเสีย โดยเฉพาะชั้นหนังกำพร้า ซึ่งอยู่ด้านนอกสุด
baby-child-close-up-1132688.jpg

6.ผิวช้ำได้ง่าย รอยช้ำเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดแดงที่อยู่ใต้ผิวหนังแตกทำให้เลือดรั่วไหลออกสู่พื้นที่โดยรอบ เป็นสัญญาณที่พบได้ทั่วไป เนื่องจากการผลิตคอลลาเจนที่ต่ำทำให้หลอดเลือดอ่อนแอ รอยช้ำสีม่วง อาจจะเป็นจุดเล็กๆ หรือบริเวณที่ใหญ่ขึ้น

7.แผลหายช้า เวลามีแผลเก่าอาจจะกลายเป็นแผลเรื้อรัง ทั้งนี้บาดแผลใหม่ๆ นั้นก็จะมีความเสี่ยงติดเชื้อเพิ่มขึ้น

8.เจ็บปวดบริเวณข้อต่อ อาจจะเดินโขยกเขยก นอกจากนี้หากเป็นขั้นร้ายแรงอาจจะทำให้เลือดออกภายในข้อต่อ ทำให้ข้อต่อบวมและปวดมากขึ้น

9.กระดูกไม่แข็งแรง กระดูกหักง่ายขึ้น และเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน ที่น่าเป็นห่วงคือกลุ่มเด็กๆ ที่ได้รับผิดกระทบนี้ เนื่องจากกระดูกยังต้องเติบโตและพัฒนาต่อไป

10.เลือดออกตามไรฟันและเสี่ยงฟันหลุดร่วง เวลาแปรงฟันหรือแม้แต่การแคะฟัน เนื้อเยื่อเหงือกจะอ่อนลง ทำให้เกิดการอักเสบ เลือดออกได้ง่าย หากเป็นขั้นร้ายแรง เหงือกจะเป็นสีม่วงและเน่าได้ ฟันอาจจะหลุดออกมา เนื่องจากเหงือกไม่แข็งแรงและเนื้อฟันอ่อนแอลง

11.ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อจนกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ เช่น โรคปอดบวม โรคกระเพาะ การติดเชื้อต่างๆ

12.โลหิตจาง การขาด วิตามิน ซี และโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กมักเกิดขึ้นร่วมกัน อาการคือหน้าซีด เมื่อยล้าง่าย หายใจลำบากขณะออกกำลังกาย ผิวและเส้นผมแห้ง ปวดศีรษะ และเล็บมือมีครึ่งวงกลมสีขาว หากเป็นขั้นร้ายแรงอาจทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้น้อยลง ส่งผลเสียต่อการเผาผลาญของเหล็ก

13.อ่อนเพลียและอารมณ์ไม่ดี อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ก่อนที่ร่างกายจะเข้าสู่สภาวะขาดสารอาหารเต็มที่

14.น้ำหนักขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ การวิจัยพบว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างการบริโภค วิตามิน ซี กับไขมันส่วนเกินในร่างกาย และระดับวิตามินในเลือดต่ำ มีส่วนเกี่ยวข้องกับไขมันหน้าท้องมากขึ้น แม้ในคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ

15.การอักเสบเรื้อรังและภาวะความไม่สมดุลของการเกิดอนุมูลอิสระ อาจจะทำให้เป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวานได้

ปริมาณที่เด็กต้องการในแต่ละวัน

เพราะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและไม่สะสมในร่างกาย โดยปริมาณที่ต้องการต่อวัน มีดังนี้

เด็กอายุ 0-6 เดือน ต้องการ 40 มก. ต่อวัน (ได้จากน้ำนมแม่)
เด็กอายุ 7-12 เดือน ต้องการ 50 มก. ต่อวัน (ได้จากน้ำนมแม่)
เด็กอายุ 1-3 ปี ต้องการ 15 มก. ต่อวัน
เด็กอายุ 4-8 ปี ต้องการ 25 มก. ต่อวัน

วัยรุ่นอายุ 9-13 ปี ต้องการ 45 มก. ต่อวัน
วัยรุ่นอายุ 14-18 ปี ต้องการ 75 มก. ต่อวัน

ทางเลือกอื่นๆ

ความจริงแหล่งที่ดีที่สุดคือ ผักผลไม้จากธรรมชาติ เช่น ฝรั่ง ส้มโอ กีวี่ ส้ม บรอกโคลี แบบกินสด ไม่ผ่านความร้อน เนื่องจากความร้อนจะทำให้วิตามินหายไป

แต่เด็กที่ไม่ชอบการกินผักผลไม้ สามารถเลือกทานในรูปแบบวิตามินเสริมทั้งแบบเป็นเม็ด เป็นผง และในรูปแบบของเยลลี่น้ำผลไม้แท้ผสมวิตามิน ซี ไม่ต้องกลัวว่าร่างกายจะไม่ได้วิตามินอีกเลย ข้อดีคือแม้จะไม่ได้กินผักหรือผลไม้สด แต่ก็ยังได้รับวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

เยลลี่น้ำผลไม้แท้ผสม วิตามิน ซี คืออะไร

คือเยลลี่ที่เเตกต่างจากเยลลี่ทั่วไปในตลาด เพราะใส่น้ำผลไม้เเท้เยอะที่สุด อัดเเน่นไปด้วยวิตามิน ไม่ใส่สารกันเสีย ไม่มีส่วนประกอบจากไขมัน ไม่มีส่วนประกอบจากกลูเตน ไม่มีส่วนประกอบจากถั่วลิสง ไม่มีส่วนประกอบจากถั่วเหลือง ไม่มีส่วนประกอบจากไข่ ไม่มีส่วนประกอบจากแลคโทส มีส่วนประกอบจากผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามิน ไม่มีสารกันเสีย เก็บได้นาน 1 ปี เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป

ที่มา NIH, Healthline, TaladGoo.com

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *