ช่วงหน้าฝนแบบนี้แม้ว่าจะลดเวลาการรดน้ำต้นไม้ของเหล่าคุณพ่อบ้านคุณแม่บ้านลงไปได้ แต่กลับทำให้ปัญหาซักผ้าแล้วตากไม่แห้งเกิดขึ้นได้ นำไปสู่กลื่นที่รบกวนทั้งตัวเองและสังคมส่วนรวม อย่างกลิ่นเสื้อผ้าที่เหม็นอับ สร้างความรำคาญและลำบากใจไม่น้อยเลยละค่ะ
แห้งไม่สนิททำให้ เสื้อผ้าเหม็นอับ
ไม่มีใครไม่รู้จักเชื้อราและภัยร้ายเกิดจากเชื้อรา แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า เสื้อผ้าเหม็นอับเพราะตากไม่แห้งสนิทดีนั้นเป็นต้นเหตุของเชื้อรา และส่งผลต่อสุขภาพของคุณและคนที่คุณรักได้อีกด้วย โดยเฉพาะบ้านไหนที่มีลูกเล็กเด็กแดง ปัญหาเล็กๆ ของผู้ใหญ่ อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ของเจ้าตัวเล็กได้นะคะ
เชื้อรากับเสื้อผ้า
อาการไอจาม คันที่ดวงตา อาจจะเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ อื่นๆ ทั่วไป และอาจเกิดจากเชื้อราได้เช่นกัน เมื่อใส่เสื้อผ้าเหม็นอับติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สูดดมเชื้อราเข้าไป จะส่งผลให้เกิดการระคายเคืองบริเวณคอและปอด นานวันเข้าปฏิกิริยาจะรุนแรงมากขึ้นจนมีอาการคล้ายการเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีอาการปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ไม่มีสมาธิเนื่องจากระบบประสาทมีปัญหา และอาจจะทำให้เกิดโรคอื่นตามมาอีกเป็นพรวน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ไซนัสอักเสบ ภูมิแพ้ และปอดอักเสบ
5 เทคนิค ซักผ้าหน้าฝน ไม่ให้เหม็นอับ
1. แยกซักและแยกอบผ้า
การแยกซักในที่นี้ไม่ใช่การแยกซักระหว่างเสื้อผ้าสีขาว กับเสื้อผ้าสีๆ นะคะ แต่เป็นการแยกซักระหว่างลักษณะเสื้อผ้าที่แห้งง่ายและเสื้อผ้าที่แห้งยาก การแยกซักเสื้อผ้าระหว่าง 2 ประเภทนี้จะทำให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้ ด้วยการตั้งโปรแกรมการซักผ้าที่เหมาะสม เสื้อผ้าที่แห้งง่ายนั้นจะมีลักษณะที่ไม่หนา จึงไม่ต้องตั้งโปรแกรมที่ปั่นแรง กลับกันเสื้อผ้าที่หนาจะทำให้แห้งยาก ควรใช้โปรแกรมปั่นแรง
นอกเหนือจากนี้การแยกอบผ้าก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผ้าแห้งสนิท ปราศจากกลิ่นอับมารบกวน เนื่องจากหากอบผ้ารวมกันทั้งหมด เครื่องจะหยุดทำงานหากเสื้อผ้าที่แห้งง่ายแห้งหมดแล้ว ทำให้เหลือเสื้อผ้าที่แห้งยากยังไม่แห้งอยู่นั่นเอง
2. เลือกซื้อผงซักฟอกที่ทำมาโดยเฉพาะ
ผงซักฟอกบางสูตรที่เคลมว่าช่วยลดหรือป้องกันการเกิดแบคทีเรียหรือเชื้อรา จะมีเทคโนโลยีเฉพาะแบรนด์หรือยี่ห้อนั้นๆ เพื่อลดการเกิดกลิ่นสะสมเวลาที่ซักและตากแล้วนั่นเองค่ะ
3. ใช้เบคกิ้งโซดาซักผ้าแทนการใช้ผงซักฟอก
ผงซักฟอกบางยี่ห้อมีการผสมแป้ง ดังนั้นเมื่อเสื้อผ้าไม่แห้งสนิท จะทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ แต่การใช้เบคกิ้งโซดาอาจจะไม่ทำให้เกิดฟอง เหล่าคุณพ่อบ้านและคุณแม่บ้านอาจจะไม่แน่ใจถึงความสะอาดของเสื้อผ้า
หากการซักผ้าด้วยเบคกิ้งโซดาอย่างเดียวไม่เพียงพอ เรามีอีกเทคนิคหนึ่ง คือ หลังจากที่ซักด้วยผงซักฟอกปกติแล้ว ในน้ำสุดท้ายให้แช่เสื้อผ้าทั้งหมดลงในน้ำที่ผสมเบคกิ้งโซหาประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงปั่นให้แห้งแล้วนำไปตากค่ะ
4. ใช้พัดลมหรือไดรเป่าผมเป่าให้แห้ง
หลังจากซักผ้าตามปกติแล้ว แต่ไม่มีเครื่องอบผ้า ให้ตากผ้าแล้วใช้พัดลมเป่าจะช่วยให้ผ้าแห้งไวขึ้น แต่หากเจอเนื้อผ้าหนาๆ ไม่แน่ใจว่าการเป่าด้วยพัดลมอย่างเดียวจะทำให้ผ้าแห้งสนิทหรือไม่ ให้ใช้ไดรเป่าผมเป่าให้แห้งสนิทอีกรอบค่ะ
5. ล้างเครื่องซักผ้าเป็นประจำ
จะใช้วิธีและน้ำยาล้างเครื่องซักผ้าที่เซลล์ขายเครื่องซักผ้าแนะนำมาก็ได้ โดยให้เปิดเครื่องซักทำงานปกติ เติมน้ำประมาณครึ่งถังซักผ้าผสมกับน้ำยาล้างเครื่องซักผ้า หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หรือเบคกิ้งโซดาผสมน้ำส้มสายชู ปล่อยให้เครื่องทำงานตามปกติ แล้วทิ้งไว้อีกประมาณ 3-4 ชั่วโมง ค่อยปล่อยน้ำออก
Leave a Reply